วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

การป้องกันการมีเพศสัมพันธ์และวิธีการคุมกำเนิด

การป้องกันการมีเพศสัมพันธ์และวิธีการคุมกำเนิด

ปัจจัยเสี่ยงของสังคมที่มีต่อการมีเพศสัมพันธ์
-                การตัดสินใจมีเพศสัมพันธ์
-                กามารมณ์กับวัยรุ่น
-                การอยู่หอพัก
-                การเที่ยวงานปาร์ตี้
-                การเที่ยวต่างจังหวัด
-                คำแนะนำเมื่ออยู่ใกล้ชิดกับแฟนหรือคู่รัก
-                ผลของการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร
การตัดสินใจมีเพศสัมพันธ์
เพศสัมพันธ์
               เป็นความสัมพันธ์รูปแบบหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นระหว่างคนรัก คนที่เป็นแฟนกัน หรือเป็นสามีภรรยากัน  การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาที่แต่งงานอยู่กินกันนั้นเป็นเรื่องปกติของสังคมแต่คนที่เป็นคู่รักหรือแฟนกันแล้วมีเพศสัมพันธ์กัน ถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อประเพณีอันดีงามของไทย เป็นสิ่งที่วัยรุ่นหรือบุคคลวัยอื่น ไม่ควรทำอย่างไรก็ตามเมื่อพูดถึงเพศสัมพันธ์ คนทั่วไปอาจจะคิดว่าหมายถึงการร่วมเพศเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วยังรวมถึงกิจกรรมทางเพศในลักษณะต่าง ๆ อีกด้วย เช่น การกอด การจูบ การเล้าโลม การสัมผัส การกระตุ้นอวัยวะเพศ เป็นต้น
การตัดสินใจมีเพศสัมพันธ์
        มีคู่รักหรือคนที่เป็นแฟนกันจำนวนหนึ่งที่ตัดสินใจมีเพศสัมพันธ์กันทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงานอยู่กินกันแบบสามีภรรยา ซึ่งอาจเป็นไปด้วยความเต็มของทั้งสองฝ่าย หรือความจำใจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ตามเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ดังนั้นการตัดสินใจที่จะมีเพศสัมพันธ์ คงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่มีวุฒิภาวะสูงพร้อมที่จะรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและผู้อื่นโดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก วัยรุ่นจำนวนหนึ่งอาจจะมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกวัยรุ่นจำนวนหนึ่งอาจจะมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เพราะอยู่ในสถานการณ์ที่ปลุกเร้าอารมณ์ หรือเอื้อต่อการมีเพศสัมพันธ์ บางรายอาจเกิดจากโดนมอมยา
                 การตัดสินใจเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ติดตัวคนเรามาตั้งแต่เกิด เพียงแต่ในวัยเด็ก เรายังตัดสินใจด้วยตนเองไม่ได้ แต่เมื่อเราก้าวสู่วัยรุ่น มีความเจริญเติบโตทั้งร่างกายและจิตใจ เราต้องเริ่มเรียนรู้ที่จะตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ด้วยตนเอง ยิ่งถ้าเติบโตจนเป็นผู้ใหญ่ขึ้นก็ยิ่งต้องตัดสินเรื่องสำคัญ ๆ ในชีวิตมากขึ้น และไม่สามารถใช้อารมณ์มาตัดสินใจเหมือนในวัยเด็กอีกต่อไป
                การตัดสินใจที่ดีควรเริ่มด้วยการแสวงหาข้อมูลเปรียบเทียบหาเหตุผลหลาย ๆ ด้านมาประกอบ ไม่ควรตัดสินใจเพราะคนส่วนใหญ่ทำเช่นนี้ การตัดสินใจเรื่องเพศสัมพันธ์ก็เช่นกัน  ไม่ใช่สิ่งที่ควรกระทำตามอย่างกันโดยปราศจากการคิดไตร่ตรอง ควรใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบในการตัดสินใจว่าสมควรหรือไม่ที่จะกระทำเช่นนั้นหากเพื่อนของเราหรือคนที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกับเรามีเพศสัมพันธ์กับคนรักแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่เราจะต้องตัดสินใจทำตามอย่างเพื่อน เพราะเพื่อนตัดสินใจผิดไปแล้ว แล้วเรายังจะผิดตามเพื่อนไปด้วยหรือการตัดสินใจที่ดีเกิดขึ้นหากเรารู้จักตนเองทั้งทางร่างกาย อารมณ์และความรู้สึก และเรียนรู้วิธีที่ถูกต้องว่าจะทำอย่างไรหากเราเกิดอารมณ์ทางเพศขึ้นมา และต้องตระหนักถึงผลที่อาจเกิดขึ้นหลังจากการมีเพศสัมพันธ์




กามารมณ์กับวัยรุ่น
      วัยรุ่นจะมีแรงขับทางเพศ (Sex drive) ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติอยู่แล้ว ถ้าไม่รู้จักควบคุมตนเองทั้งทางร่างกายและจิตใจ จะทำให้เกิดปัญหาตามมาได้
        เมื่อเราเริ่มมีความรักหรือเริ่มสนใจเพศตรงข้าม ย่อมมีความรู้สึกอยากอยู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น สมัยก่อนการนัดพบกันของคู่รักในวัยรุ่นยังไม่ได้รับการยอมรับจากผู้ใหญ่หรือผู้ปกครอง แต่ในปัจจุบัน วัยรุ่นสามารถไปเที่ยวด้วยกันสองต่อสองมากขึ้น หากเป็นคู่รักหรือเป็นแฟนกันก็สามารถเปิดเผยหรือแนะนำให้พ่อแม่รู้จักได้ ซึ่งพ่อแม่บางคนก็รับได้  แต่บางคนก็ยังรับไม่ได้
        การที่วัยรุ่นที่เป็นแฟนกันได้ไปเที่ยวด้วยกัน ก็เป็นโอกาสหนึ่งที่จะได้ทำความรู้จักกันในด้านต่าง  มากขึ้นรวมถึงเป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ด้วยกัน แต่บางครั้งการอยู่กับแฟนตามลำพังอาจก่อให้เกิดบรรยากาศชวนให้อยากใกล้ชิดกันมากขึ้น และอาจเกิดความต้องการทางเพศตามมา วัยรุ่นจึงควรระมัดระวังความสัมพันธ์ทางเพศที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ และควรแยกแยะระหว่างความรักกับความใคร่ ต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจ หรือหักห้ามใจและรู้จักรับผิดชอบชั่วดี
การอยู่หอพัก
        ปัจจุบัน การอยู่หอพักนับว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์เพราะวัยรุ่นที่อยู่ตามลำพังจะปฏิบัติตนได้อย่างอิสรเสรี และในสังคมปัจจุบันการแยกหอพักเป็นหอหญิงโดยเฉพาะ หรือหอชายโดยเฉพาะจะมีน้อยลง เพราะวัยรุ่นส่วนใหญ่จะชอบอยู่หอพักที่ไม่จำกัดเพศและก็มีคู่รักจำนวนหนึ่งที่ใช้หอพักเป็นเรือนหอชั่วคราว  บางคู่ก็อาจใช้เป็นเรือนหอประจำคือ อยู่ด้วยกันแบบสามีภรรยาอย่างเปิดเผยโดยไม่รู้สึกเขินอายและไม่คำนึงถึงความรู้สึกของพ่อแม่ ผู้ปกครองที่ส่งเสียให้เล่าเรียนว่าถ้าท่านทราบเรื่องท่านจะเสียใจมากเพียงใด ในสังคมปัจจุบัน มีวัยรุ่นหลายคู่ที่ปฏิบัติเช่นนี้ ซึ่งผลที่ตามมามีมากมาย เช่น ผลการเรียนที่ไม่ดีหรือตกต่ำลง บางคนเรียนไม่จบ อาจเกิดการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นมา การทำแท้ง การคลอดบุตรแล้วนำไปทิ้งการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคเอดส์ ตลอดจนการคิดฆ่าตัวตายเมื่อไม่มีทางแก้ไข เป็นต้น
การเที่ยวงานปาร์ตี้

             งานปาร์ตี้เป็นงานที่จัดขึ้นเนื่องในโอกาสต่าง ๆ เช่น วันเกิด วันที่สำเร็จการศึกษา วันที่นัดพบเพื่อความสนุกสนานการไปเที่ยวงานปาร์ตี้อาจมีการใช้หรือเสพยาเสพติด เช่น ยาบ้า ยาอี ยาเค ยาเลิฟ เป็นต้น หรือการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เมื่อเกิดการมึนเมา จะทำให้ขาดสติสัมปชัญญะอัจอาจจะนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์กันได้ในระหว่างเพื่อนกับเพื่อนหรือระหว่างคู่รัก ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นอยู่เสมอ ๆ ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการไปเที่ยวงานปาร์ตี้หรือเลือกไปงานปาร์ตี้ที่พิจารณาแล้วว่าไม่เสี่ยง เช่น ไปเฉพาะเพื่อนเพศเดียวกันไม่มียาเสพติด หรือของมึนเมาต่าง ๆมีผู้ใหญ่คอยดูแล เป็นต้น

การเที่ยวต่างจังหวัด
          การไปเที่ยวต่างจังหวัดที่ต้องไปค้างคืน ถ้าไปกันตามลำพังสองต่อสองก็นับว่าเป็นเสี่ยงอย่างมากต่อการมี เพศสัมพันธ์ แม้ไปเป็นหมู่คณะก็ยังไม่ปลอดภัย ถ้ามียาเสพติดและของมึนเมาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โอกาสเสี่ยงก็มีมากขึ้น บางครั้งอาจเป็นการวางแผนของเพื่อนชายที่จะหาโอกาสใกล้ชิด และถ้ามีโอกาสก็จะมีเพศสัมพันธ์ด้วยดังนั้นพ่อแม่ ผู้ปกครองจะต้องพิจารณาถึงโอกาสเสี่ยง เมื่อมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงไปด้วยกัน ถึงจะไปเป็นหมู่คณะก็ไม่ควรไว้วางใจ เพราะอาจมีการแยกเป็นได้เมื่อมีโอกาส และบรรยากาศที่เป็นใจ
คำแนะนำเมื่ออยู่กับคู่รักตามลำพัง
คำแนะนำต่อไปนี้คงจะเน้นที่ผู้หญิง เพราะโดยธรรมชาติแล้วผู้ชายเป็นฝ่ายที่มักได้คิดในเรื่องความใคร่
มากกว่าผู้หญิง ผู้ชายจึงไม่ค่อยเชื่อคำสอนหรือคำแนะนำ สำหรับคำแนะนำที่จะกล่าวต่อไป 5 ประการดังนี้
               1.  รู้จักปฏิเสธ  ถ้าถูกเพื่อนชายคุกคามทางเพศคิดพยายามจับต้องเนื้อตัวหรือลวนลามต่าง ๆ ต้องพูดว่า"อย่า " พร้อมกับแสดงท่าทีว่าไม่พอใจ ถ้าหากเราพูดคำว่า "อย่า" เบา ๆ หรืออยู่ในลำคอ เขาอาจเข้าใจว่าเราปฏิเสธไม่จริงและไม่เด็ดขาด อาจปฏิเสธพอเป็นพิธีก็ได้ เขาจะไม่หยุดพฤติกรรมที่ไม่ดีเหล่านั้น
ถ้าบอกว่า "อย่า" แล้วยังขืนทำอีกให้พูดว่า "หยุด" ด้วยเสียงดัง ๆ และจริงจัง อาจขู่ด้วยว่าถ้าไม่เชื่อจะเลิกคบด้วย
               2.  ลุกหนีทันที  ถ้าปฏิเสธแล้วฝ่ายชายยังไม่เชื่อ ยังดื้อดึงหรือลวนลามต่อฝ่ายหญิงควรลุกหนีไปจากที่นั่นทันที โดยไม่ต้องสนใจว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร เพราะขณะนั้นเขาคิดไม่ซื่อกับเราแล้ว
                 3.  ต้องมีสติ  หากไปเที่ยวกับเพื่อนชาย ไม่ควรดื่มของมึนเมาหรือเสพสารเสพติดทุกชนิด เพราะจะทำให้เราขาดสติและไม่สามารถควบคุมตนเองได้ อาจตกเป็นเหยื่อของเพื่อนชายหรือคนรักได้
                 4.  ไปในที่ปลอดภัย  ไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ใดกับแฟนควรอยุ่ในที่ที่เรายังมองเห็นเพื่อนหรือคนอื่น ๆ ถ้าเห็นท่าทางไม่ชอบมาพากลควรจะหาทางกลับบ้านด้วยตนเอง โดยแจ้งผู้ปกครองหรือชวนเพื่อนที่หญิง ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ลับหูลับตาสองต่อสองหรือการไปดูสื่อลามกด้วยกัน เพราะสถานการณ์ดังกล่าวนั้นไม่ปลอดภัยและเป็นการเสี่ยงต่อฝ่ายหญิงอาจก่อให้เกิดการมีเพศสัมพันธ์
                 5.  วางแผนและตัดสินใจ  ควรตัดสินใจไว้ก่อนว่าเราพร้อมจะใกล้ชิดกับเพื่อนชายเพียงใด ในเมื่อเราไม่พร้อมที่จะมีเพศสัมพันธ์ เช่น ถ้าคนรักจับมือเราจะยอมหรือไม่ ถ้ายอมเขาโอบกอดอาจนำไปสู่การถูกเนื้อต้องตัวมากขึ้น และเมื่อฝ่ายชายได้ใจมากขึ้นอาจถึงขั้นมีเพศสัมพันธ์ได้ และพึงคิดไว้เสมอว่ากการมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้ทำให้ความรักมั่นคงหรือยืนยง แต่กลับจะทำลายมิตรภาพของความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันลงไป ดังนั้นหากรักกันต้องไม่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียหายในทุกกรณี
                การไปเที่ยวต่างจังหวัดที่ต้องไปค้างคืน ถ้าไปกันตามลำพังสองต่อสองก็นับว่าเป็นเสี่ยงอย่างมากต่อการมีเพศสัมพันธ์ แม้ไปเป็นหมู่คณะก็ยังไม่ปลอดภัย ถ้ามียาเสพติดและของมึนเมาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โอกาสเสี่ยงก็มีมากขึ้น บางครั้งอาจเป็นการวางแผนของเพื่อนชายที่จะหาโอกาสใกล้ชิด และถ้ามีโอกาสก็จะมีเพศสัมพันธ์ด้วย ดังนั้นพ่อแม่ ผู้ปกครองจะต้องพิจารณาถึงโอกาสเสี่ยง เมื่อมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงไปด้วยกัน ถึงจะไปเป็นหมู่คณะก็ไม่ควรไว้วางใจ เพราะอาจมีการแยกเป็นได้เมื่อมีโอกาส และบรรยากาศที่เป็นใจ
ผลของการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร
            วัยรุ่นที่มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรมักไม่ได้คิดถึงผลที่จะเกิดตามมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปัญหาที่สำคัญ ได้แก่
1.  การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ ในช่วงวัยรุ่นการเจริญเติบโตและความสมบูรณ์ทางร่างกายทำให้เกิดความพร้อมทางภาวการณ์เจริญพันธุ์สูงมาก ดังนั้น เมื่อมีเพศสัมพันธ์จึงทำให้มีโอกาสให้กำเนิดชีวิตใหม่ หรือการตั้งครรภ์ก็มีสูงมากด้วย  การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ของวัยรุ่น เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร เป็นการตั้งครรภ์ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่มีความพร้อมในทุก ๆ ด้าน จึงก่อให้เกิดปัญหาตามมาอย่างมากทั้งทางด้านครอบครัว เศรษฐกิจ และสังคม และปัญหาการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์นี้ส่งผลกระทบต่ออนาคตของวัยรุ่นอย่างมากด้วย
ลักษณะของปัญหาจากการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์มีดังนี้
1.1    ฝ่ายหญิงที่เป็นฝ่ายที่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่กำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่  เมื่อตั้งครรภ์ขึ้นมาก็ไม่อาจศึกษาเล่าเรียนต่อไปได้ ทำให้ต้องออกจากการศึกษากลางคัน ซึ่งก็หมายถึงอนาคตการเรียนก็หมดไปอย่างสิ้นเชิงบางรายเมื่อตั้งครรภ์ก็ไม่กล้าบอกพ่อแม่ ผู้ปกครองทราบแต่ก็ไม่สามารถปกปิดได้ตลอดไป จึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านไปเผชิญชีวิตด้วยตนเอง เมื่อคลอดลูกก็จะเกิดปัญหาตามมามากมาย โดยเฉพาะปัญหาทางเศรษฐกิจและปัญหาสังคม
1.2    ในบางกรณีตัดสินใจทำแท้งเพื่อยุติการตั้งครรภ์โดยหวังว่าเมื่อไม่ตั้งครรภ์แล้วจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตและศึกษาเล่าเรียนได้ตามปกติ ในความเป็นจริงแล้วการทำแท้งเป็นเรื่องที่ผิดทั้งทางด้านศีลธรรม กฎหมาย และค่านิยมของสังคม และที่สำคัญที่สุดคือ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพ ในบางรายที่ทำแท้งโดยผู้ทำไม่ใช่แพทย์อาจเป็นอันตรายรุ่นแรง เช่น ตกเลือด ติดเชื้ออย่างรุ่นแรง ทำให้เสียชีวิตได้ หรือบางรายอาจต้องผ่าตัด ตัดมดลูกทิ้งทำให้ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีกเลยตลอดชีวิต
1.3    ในบางกรณี เมื่อตั้งครรภ์ขึ้นมาจะทำให้เกิดภาวะจำยอมที่ต้องแต่งงานกัน โดยทั้งสองฝ่ายยังไม่มีความพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตคู่ที่ต้องมีภาระเลี้ยงดูบุตร ทำให้เกิดปัญหาครอบครัวซึ่งนำไปสู่การหย่าร้างในที่สุด
2.  การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การมีเพศสัมพันธ์อาจทำให้เกิดการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ที่สำคัญคือ โรคในกลุ่มกามโรคและโรคเอดส์ โดยเฉพาะโรคเอดส์เป็นโรคที่กำลังแพร่ระบาด และทำให้เกิดปัญหาทางสังคมอย่างมาก ทั้งยังเป็นโรคที่ไม่มียาหรือวิธีการรักษาที่ทำให้หายขาดได้ และไม่มีวัคซีนสำหรับป้องกันโรคนี้ การติดเชื้อโรคเอดส์จึงทำให้เกิดปัญหาสุขภาพและปัญหาสังคมตามมา ทั้งยังทำลายอนาคตอีกด้วย

ความสำคัญของการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
                การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลดภัย หมายถึง การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาตามมาหรือจากการมีเพศสัมพันธ์ได้แก่ ปัญหาการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะโรคเอดส์และโรคในกลุ่มกามโรค และเกิดการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์
               ในกรณีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ได้จริง ๆ ก็ควรมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
               การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยมีความสำคัญอย่างมากในการช่วยป้องกันปัญหาจากการมีเพศสัมพันธ์ คือ ป้องกันการติดเชื้อโรคติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ และป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์อุปกรณ์ที่ช่วยให้มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยคือ ถุงยางอนามัย หรือคอนดอมถุงยางอนามัย จัดให้เป็นเครื่องมือแพทย์ชนิดหนึ่งที่ช่วยทำให้มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยได้ สิ่งสำคัญในการใช้ถุงยางอนามัยคือ การเลือกถึงยางอนามัยและการใช้ถึงยางอนามัยอย่างถูกต้อง









การป้องกันการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร
          น้องๆ เยาวชนคงจะได้รับรู้เกี่ยวกับเพศศึกษากันมาบ้างนะครับ.....นับว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้ามเลย ซึ่งในวัยนี้อะไรๆ ก็มีการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะฮอร์โมนในร่างกาย มีผลกระตุ้นให้มีความสนใจกับเพศตรงข้าม รวมทั้งแรงขับตามธรรมชาติ ที่ทำให้ใคร่รู้ ใคร่ลอง ในเรื่องเพศ จนเป็นปัญหาที่วัยรุ่นปัจจุบันประสบปัญหากันมากมาย ในโอกาสนี้เมนู "ภูมิคุ้มกันชีวิต" ขอนำเสนอกลวิธีการป้องกันการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันสมควร ให้น้องๆ เยาวชนได้รับรู้ไว้เป็นเกราะป้องกันตนเพื่อชีวิตที่ดีกว่า...มีคุณค่า น่านับถือตนเองได้ มาเรียนรู้ถึงบันได 13 ขั้นนำพาให้พ้นภัยได้ ดังนี้ 

         1. เรียนรู้ถึงความคิดต่างกันของหญิงชายในเรื่องเพศ
         ผู้ชายมีเพศสัมพันธ์ได้โดยไม่มีความรัก ขณะที่ผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์เพราะความรัก ผู้ชายมองการมีเพศสัมพันธ์ว่าเป็นการหาความสุขร่วมกันและไม่ต้องผูกพัน ขณะที่ผู้หญิงเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับชายใดจะต้องการมีความผูกพันกับชายคนนั้น หลังจากมีเพศสัมพันธ์ ผู้ชายไม่ได้คิดว่าจะต้องมีความผูกพันอะไรต่อไป ขณะที่ผู้หญิงคิดว่าเมื่อมีเพศสัมพันธ์กันแล้ว เธอจะต้องมีความผูกพันกับชีวิตเขา จึงเรียกความรับผิดชอบจากผู้ชาย ความตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างชายหญิง จะเป็นการป้องกันการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่คาดคิด ซึ่งจะนำปัญหาต่าง ๆ มากมายที่ยากแก่การแก้ไข 
         2. วัยรุ่นชายควรคิดเสมอว่าวัยรุ่นหญิงเป็นเพศเดียวกับแม่ พี่น้อง ควรช่วยเหลือและให้เกียรติ 
         3. ควรหลีกเลี่ยงการถูกเนื้อต้องตัว เพราะอาจนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่คาดคิดได้ 
         4. ควรหลีกเลี่ยงการไปพักค้างคืนร่วมกันเป็นหมู่คณะ หรือตามลำพังโดยไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแล 
         5. ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ด้วยกันตามลำพังในที่ลับตาคน 
         6. ควรหลีกเลี่ยงการไปในสถานที่เปลี่ยว โรงแรมและสถานเริงรมย์ทุกรูปแบบ 
         7. ควรหลีกเลี่ยงการมีนัดหมายกับเพศตรงข้ามในยามวิกาล 
         8. ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือสารเสพติดทุกชนิด 
         9. วัยรุ่นหญิงควรแต่งกายเรียบร้อย และมิดชิด ไม่ควรแต่งกายในลักษณะที่ยั่วยุ ให้ผู้พบเห็นเกิดอารมณ์ทางเพศ เช่น เสื้อสายเดี่ยว เสื้อเกาะอก กระโปรงสั้น และกางเกงรัดรูปเกินไป 
         10. หลีกเลี่ยงการคบเพื่อนหรือออกเที่ยวกับเพื่อนต่างเพศที่ไม่รู้จักดีพอ 
         11. ควรหลีกเลี่ยงการออกเที่ยวหรือเดินทางในยามวิกาล หรือการเดินทางในที่เปลี่ยว 
         12. วัยรุ่นชายหญิงควรวางตัวต่อกันอย่างสุภาพ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน และไม่ควรมีการล่วงเกินทางเพศ หรือวางตัวสนิทสนมใกล้ชิดเกินไป 
         13. การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง ในสถานการณ์ที่เหมาะสม(การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง เป็นทางออกที่ดีทางหนึ่ง ใช้เป็นไม้ตายสุดท้าย ควรทำในที่ลับ และอย่าพร่ำเพรื่อจนเกินไป)
  (คัดลอก: จากบทความรณรงค์วันเอดส์โลก; นพ.สุรศักดิ์ โควสุภัทร์.โรงพยาบาลหนองคาย)

 








วัยรุ่นกับการมีเพศสัมพันธ์และการคุมกำเนิด
 วัยรุ่นเป็นวัยที่อยากรู้อยากเห็นโดนเฉพาะเรื่องเพศ การหาทางออกที่ดีจากการหมกหมุนเรื่องเพศ เช่นการออกกำลังกาย การเล่นกีฬา การอ่านหนังสือ การร้องเพลง หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่เหมาะสม ที่สามารถหันเหหารหมกหมุนเรื่องเพศ เป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่การป้องกันเมื่อจำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ต้องให้วัยรุ่นทราบเพื่อเป็นการป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ตลอดจนป้องกันภาวะ การตั้งครรภ์ในวัยมี่ไม่สมควรหรือในสภาพที่ไม่พร้อม การป้องกันการตั้งครรภ์หรือคุมกำเนิดมีหลายวิธีความแตกต่างกัน เช่น
Ø การใช้ห่วงกำเนิด ป้องการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 98%
Ø การรับประทานยาคุมกำเนิด ป้องกันการตั้งครรภ์ประมาณ 95%
Ø การฉีดยาคุมกำเนิด ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 99%
Ø การใช้หมวกครอบปากมดลูก ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 80%
Ø การใช้ยาฝังคุมกำเนิดได้ผิวหนังบริเวณต้นแขน ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 99%
Ø การใช้ถุงยางอนามัยในผู้ชาย ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 86%
Ø การใช้ยาฆ่าSperm ฉีดล้าง ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 74%
Ø การหลั่งภายนอกช่องคลอด ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 60-80%
Ø การนับวันที่ไข่ตกเพื่อนับระยะปลอดภัย ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 70-75%  
       จากข้อมูลประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์วิธีต่างๆ ก็ไม่ได้ป้องกันได้ 100% ดังนั้นการมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นเป็นสิ่งที่ไม่สมควร เพราะไม่พร้อมทั้งวุฒิภาวะและฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม จึงไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันสมควร และเป็นสิ่งที่ควรยกเว้นหรือไม่ควรทดลองปฏิบัติคำกล่าวที่ว่า อดข้าวจนถึงคาดชีวาวายแต่ไม่ตายเพราะอดเสน่หา เพราะเพศสัมพันธ์ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในวัยดังกล่าวแต่การเล่าเรียนเขียนอ่านซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นและทำให้เป็นรากฐานทางอาชีพที่ดีในอนาคต  
        การคุมกำเนิดที่สมารถหาได้ง่ายๆ และช่วยป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่ดีที่สุด คือการใช้ถุงยางคุมกำเนิดในฝ่ายชาย โดยจะป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เช่นหนองใน ซิฟิลิส และเอดส์ ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ แต่การใช้ถุงยางต้องไม่ใช่สารหล่อลื่นอื่นๆ ที่มีผลทำให้ถุงยางเสื่อม เช่น โรชั้น ครีมบำรุงผิว น้ำมัน หากจำเป็นต้องใช้สารหลอลื่นต้องใช้เจลหล่อลื่นที่ไม่มีผลต่อถุงยาง นอกจากนั้นการสวมใส่ถุงยางที่ถูกวิธีเป็นสิ่งที่จำเป็นซึ่งมีอธิบายในกล่องถุงยางอยู่แล้ว และเมื่อเสร็จกิจหรือฝ่ายชายหลั่งแล้วควรดึงอวัยวะเพศออกมาในขณะที่แข็งตัวตัวอยู่ เพื่อหลีกเลี่ยงการรั่วไหล และบางกรณีอาจต้องสวมถุงยาง 2 ชั้น ในกรณีที่จำเป็น แต่ประสิทธิภาพการป้องกันการตั้งครรภ์อาจไม่ถึง 100% เพราะสาเหตุข้างต้น แต่ก็เป็นการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่ดี ดังจะมีคำสอนในหมู่ภรรยาที่มักจะกล่าวกับสามีว่า ริจะเที่ยวต้องหัดป้องกัน อย่านำเชื้อโรคมาแพร่ให้เมีย ซึ่งเป็นคำสอนที่ดีในภาวะปัจจุบันที่โรคเอดส์หากติดมาแล้วถึงตายได้ และทำให้ลูกเมียเดือดร้อน  
        การคุมกำเนิดในหมู่วัยรุ่นที่นิยมอีกวิธีคือ การใช้ยาคุมหลังร่วมหรือยาคุมฉุกเฉิน ปกติที่นิยมใช้ในท้องตลาด คือ ยา levonorgestrel ขนาด 750 ไมโครกรัมซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชนิดโปรเจสติน ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ประมาณ 85% โดยยามีกลไกการออกฤทธิ์ คือ การยับยั้งการตกไข่ในกรณีที่ใช้ในช่วงเวลาครึ่งแรกของรอบเดือนหรือการเปลี่ยนแปลงเยื่อบุมดลูกทำให้เกิดการฝังตัวของไข่ที่ถูกผสม หรือรบกวนหน้าที่ของเยื่อบุผนังมดลูก และอาจมีการยับยั้งการผสมตัวของไข่กับอสุจิ รบกวนการเคลื่อนที่ของไข่กับอสุจิ ทำให้หมู่ปากมดลุกข้นเหนียว และการกินยาคุมหลังร่วมมีผลข้างเคียงที่พบบ่อย คือ คลื่นไส้พบประมาณ 16% อาเจียน 3% และที่พบบ่อยคือ ภาวะรอบเดือนผิดปกติช้าหรือเร็วกว่าเดิม ซึ่งมีคำแนะนำหรือข้อที่พึงระมัดระวังการใช้ยาคุมหลังร่วม ดังนี้
        ต้องรับประทานยาเม็ดแรกให้เร็วที่สุด ซึ่งไม่เกิน 72 ชั่วโมง หลังมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งปกติจะแนะนำให้กินหลังมีเพศสัมพันธ์ 1 ชั่วโมง และอีกเม็ดหนึ่งใน 12 ชั่วโมงต่อมาหากรับประทานช้ากว่ากำหนดไป 12 ชั่วโมงให้ประสิทธิภาพยาคุมกำเนิดลดลง 50%
         ประสิทธิภาพของยาในการป้องกันการตั้งครรภ์ไม่ได้ 100% จึงควรวิธีคุมกำเนิดอื่นๆ ร่วม เช่น การใส่ถุงยางในผู้ชายและยังช่วยลดการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้
           ประจำเดือนรอบถัดไปอาจมาช้าหรือเร็วกว่าเดิมหรือตรงตามเวลาปกติก็ได้ กรณีที่มาช้ากว่าปกติ 2-3 สัปดาห์ควรทดสอบว่าตั้งครรภ์หรือไม่ และในขณะที่รอรอบเดือนมาควรใช้ถุงยางอนามัยหากมีเพศสัมพันธ์
- กรณีที่ปวดท้องน้อยอย่างรุนแรงหรือมีเลือดออกมากต้องพบแพทย์ โดยเฉพาะหาก 3 สัปดาห์ต่อมามีเลือดออกผิดปกติหรือไม่มีหรือมีระยะสั้นๆ กว่าปกติมาก
- ไม่ควรใช้ยาคุมฉุกเฉินเกิน 2 ครั้ง (4 เม็ด ) ในหนึ่งเดือนและไม่แนะนำให้ใช้ประจำในการป้องกันการตั้งครรภ์เมื่อมีเพศสัมพันธ์อย่างเป็นประจำซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของข้อบงชี้ของยา การใช้ยาอย่างพร่ำเพรื่อทำให้รอบเดือนผิดปกติได้
- เมื่อมีการตั้งครรภ์พบว่ายานี้ไม่มีผลทำให้เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์
      อย่างไรก็ตามการใช้ยาคุมกำเนิดควรได้รับการตรวจร่างกายและพบแพทย์ก่อนใช้ โดยเฉพาะกรณีที่ต้องใช้เป็นประจำ ซึ่งการกินยาคุมกำเนิดเป็นวิธีที่คุมกำเนิดที่สะดวกราคาถูกไม่ต้องผ่าตัด จึงได้รับความนิยมในสตรีที่ต้องการคุมกำเนิดอย่างปลดอภัยและหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ แต่ท้ายที่สุดในหมู่วัยรุ่นเองไม่ควรริมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียนหรือมีค่านิยมในการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันสมควรอันจะก่อให้เกิดปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์และอาจทำให้เกิดโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะการติดเอดส์ ซึ่งจะทำให้เสียอนาคตและถึงแก่ชีวิตในวัยก่อนอันควรเพราะเอดส์ไม่มียารักษาให้ขาดได้ แต่ป้องกันได้โดยสวมถุงยางเมื่อจำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง ท้ายที่สุด วัยรุ่นปัจจุบันมีความคิดเป็นของตนเอง มีความคิดอ่านที่มีเหตุผลมากขึ้นและสังคมไทยเป็นสังคมที่มีค่านิยมเรื่องเพศ ไม่ให้ชิงสุกก่อนห่าม หรือ การรักนวลสงวนตัวของเพศหญิงสิ่งเหล่านี้จะเป็นเกราะกำบังป้องกันภาวะตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์
แนวทางการจัดกิจกรรมเพื่อป้องกันปัจจัยเสี่ยงเรื่องเพศในโรงเรียนและชุมชน
-                การสอนเพศศึกษาในโรงเรียน
-                ความสำคัญของเพศศึกษา
-                รายงานการวิจัยด้านเพศศึกษา
-                การจัดกิจกรรมเพื่อป้องกันปัจจัยเสี่ยง
-                ทัศนคติและค่านิยมที่ควรปลูกฝัง
แนวทางการจัดกิจกรรมเพื่อป้องกัน ปัจจัยเสี่ยงเรื่องเพศในโรงเรียนและชุมชน

          การจัดกิจกรรมเพื่อป้องกันปัจจัยเสี่ยงเรื่องเพศในโรงเรียนและในชุมชนนั้น เป็นเรื่องที่จำเป็นต้อง จัดให้มีขึ้นเพื่อสู้กับกระแสของการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ซึ่งนับวันจะมีมากขึ้น ดังนั้นการสอนเรื่องเพศทั้งที่โรงเรียนและที่บ้านจึงเป็นกิจกรรมที่จะช่วยป้องกันความเสี่ยงในเรื่องนี้ได้ 
การสอนเพศศึกษาในโรงเรียน

           เพศศึกษา  หมายถึง กระบวนการทางการศึกษาเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติของชีวิตในเรื่องเกี่ยวกับเพศตั้งแต่เกิดจนตาย ซึ่งการศึกษาเรื่องเพศเริ่มได้ตั้งแต่ในวัยเด็ก โดยให้ความรู้ที่เหมาะสม ประกอบไปด้วยพฤติกรรมทางเพศ การสืบพันธ์ เจตคติที่ดีในธรรมชาติทางเพศพฤติกรรมทางเพศเกี่ยวกับสุขภาพการคบหาสมาคมกันระหว่างชายและหญิง การรู้จักเลือกคู่ครองและครองชีวิตคู่ได้อย่างมีความสุข จากการสำรวจและวิจัยขององค์การอนามัยโลกพบว่า การสอนเรื่องเพศศึกษาไม่ได้กระตุ้นให้เด็กอยากลองหรือมีเพศสัมพันธ์เพิ่มมากขึ้น แต่การให้ความรู้ที่ถูกต้องกลับจะทำให้เด็กมีเพศสัมพันธ์ช้าลง และมีความรู้ทางด้านการคุมกำเนิดที่ถูกต้อง

ความสำคัญของเพศศึกษา
ในปัจจุบัน เป็นที่ยอมรับว่าเรื่องเพศมิใช่เรื่องที่จะต้องปกปิด หรือน่าอับอาย อีกต่อไปแล้ว ทั้งนี้เพราะในสังคมมีการติดต่อสื่อสารกันหลายรูปแบบ ทั้งสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต มักมีการนำเสนอเรื่องทางเพศร่วมด้วยเสมอ ดังนั้นเพื่อมิให้วัยรุ่นได้รับข้อมูลที่ผิด จึงควรให้ได้รับความรู้ด้านเพศศึกษาในทางที่ถูกต้องโดยเริ่มตั้งแต่ในวัยเด็ก
         ครอบครัวเป็นสถาบันแห่งแรกที่ใกล้ชิดกับเด็กมากที่สุด พ่อแม่เป็นผู้ที่มีบทบาทมากในการให้ความรู้ แก่เด็กในเรื่องเพศตามวัยของเขา ไม่ควรปิดบังหรือตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องเพศไม่ตรงกับความเป็นเป็นจริงนอกจากนี้สถาบันการศึกษา หน่วงงานภาครัฐและเอกชน ควรมีบทบาทในการเอาใจใส่ดูแลเยาชน ให้ทุกคนมีสุขภาพดีทั้งกายและใจ  เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้เขามีทักษะชีวิตที่เหมาะสมในสังคมยุคปัจจุบัน วัยรุ่นมีค่านิยมที่เปลี่ยนแปลงไปมากในเรื่องเพศ มีสถานบันเทิง สื่อต่าง ๆ มากมาย ทำให้วัยรุ่นซึ่งเป็นวัยทีอยากรู้อยากลองแสวงหาความแปลกใหม่ให้กับชีวิตวัยรุ่น หลายคนหลงระเริงไปกับประสบการณ์ใหม่ ๆ  การมีเพศสัมพันธ์ อาจจะเป็นสิ่งที่ตามมา และมีปริมาณมากขึ้น
รายงานการวิจัยด้านเพศศึกษา
มีรายงานการวิจัยด้านเพศศึกษาหลายเรื่องที่น่าจะนำมาคิดพิจารณาและนำมาประยุกต์หาวิธีจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นค้นหรือกำลังจะเกิดขึ้น โดยโรงเรียนและชุมชนเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการดำเนินการเพราะนักเรียน วัยรุ่นเป็นสมาชิกทั้งในโรงเรียนและชุมชน  ขอยกตัวอย่างงานวิจัยด้านเพศศึกษาดังนี้
       1.  กรองทิพย์  จั่นแย้ม  ได้ทำการวิจัยเรื่อง "ความสัมพันธ์ระหว่างการเปิดรับสื่อมวลชนและสื่อบุคคลกับการยอมรับค่านิยมของการมีเพศสัมพันธ์ก่อนสมรสของวัยรุ่น" กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาระดับ ปวช. และ ปวส. จำนวน 323 คน ผลการวิจัยพบว่านักศึกษาอาชีวศึกษาเพศชายยอมรับการมีเพศสัมพันธ์ก่อนสมรสมากกว่านักศึกษาอาชีวศึกษาเพศหญิง และการเปิดรับสื่อวิทยุและหนังสือพิมพ์ไม่มีอิทธิพลกับการยอมรับค่านิยมการมีเพศสัมพันธ์ก่อนสมรสของวัยรุ่น
       2.  ชวนชม  สกนธนวัฒน์ ได้ทำการวิจัยเรื่อง "สุขภาพของภาวะเจริญพันธุ์และการคุมกำเนิดของวัยรุ่นและหนุ่มสาว" กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาอาชีวศึกษาจำนวน 5,651 คน ผลการวิจัยพบว่าในการเที่ยวกลางคืน วัยรุ่นชายจะไปกับเพื่อนหญิงร้อยละ 55.30 ในจำนวนนี้มีเพศสัมพันธ์กับหญิงบริการร้อยละ 20.77 เมื่อมีความต้องการทางเพศทั้งเพศชายและหญิงส่วนใหญ่จะสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง เมื่อเกิดการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นมาควรจะไปปรึกษาแพทย์มากกว่าปรึกษากันเอง ในการทำแท้งวัยรุ่นชายมักจะให้วัยรุ่นหญิงกินยาขับเลือดเพื่อให้เกิดการแท้ง วัยรุ่นชายเคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากกว่าวัยรุ่นหญิง 3 เท่า ไม่ว่าฐานะทางครอบครัวจะเป็นอย่างไร วัยรุ่นชายร้อยละ 45.6 มีความเห็นว่า วัยรุ่นหญิงที่มีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานไม่ใช่เรื่องเสียหาย
    ในสังคมยุคปัจจุบัน สถานศึกษาและผู้เกี่ยวข้องควรให้ความช่วยเหลือให้ความรู้ หรือเป็นที่ปรึกษาให้ในเรื่องเพศศึกษา โดยเฉพาะวัยรุ่นหญิงซึ่งจะมีผลกระทบตามมาจากการมีเพศสัมพันธ์มากกว่าวัยรุ่นชาย เพราะต้องเป็นฝ่ายตั้งครรภ์ และสังคมไทยยังไม่ยอมรับเรื่องนี้ วัยร่นหญิงควรรู้จักป้องกันตนเองให้รอดพ้นจากความเสี่ยง ซึ่งอาจนำความเดือดร้อนและความเสื่อมเสียมาสู่ครอบครัว สถานศึกษา และตนเอง
การจัดกิจกรรมเพื่อป้องกันปัจจัยเสี่ยง
                เพื่อป้องกันปัจจัยเสี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร หรือถ้าเกิดเหตุการณ์ในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ก็ต้องหาทางช่วยเหลือให้คำแนะนำที่ถูกต้องและเหมาะสม ซึ่งโรงเรียนสามารถจัดกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย ดังตัวอย่างต่อไปนี้
1.  การสอนเรื่องเพศศึกษาในโรงเรียน  ส่วนใหญ่จะอยู่ในวิชาสุขศึกษา ซึ่งครูผู้สอนต้องสอนให้วัยร่นเกิดความตระหนักถึงผลเสียของการมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน สอนถึงวิธีการป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์  และการป้องกันการติดต่อของโรคทางเพศสัมพันธ์ สอนให้ผู้หญิงรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมผู้ชาย ตลอดจนเรื่องอื่น ๆ ที่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์แก่วัยรุ่น
2.  การให้คำปรึกษารายกลุ่มกับวัยรุ่นในกลุ่มเสี่ยง  โรงเรียนจะต้องมีการคัดแยกนักเรียนที่จัดว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์ออก เพื่อให้คำปรึกษาเป็นกลุ่มย่อย ๆ กลุ่มละ 8 - 10 คน หรือน้อยกว่านี้ โดยจัดให้พวกเขามาร่วมกันปรึกษาหารือ บอกเล่าเรื่องราวความรู้สึกทุกข์ร้อนให้เพื่อนในกลุ่มได้ทราบ จะทำให้เกิดบรรยากาศที่อบอุ่นมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน ทำให้รู้ว่าปัญหาไม่ใช่มีกับเราคนเดียว คนอื่น ๆ ก็มีปัญหาเหมือนกัน จะทำให้เกิดกำลังใจและมีความกล้าที่จะเผชิญปัญหาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ช่วยกันหาแนวทางแก้ปัญหาที่หลากหลายรูปแบบจนได้ข้อสรุปที่นำไปสู่การเลือกและตัดสินใจ นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญยิ่งที่จะทำให้กิจกรรมนี้สำเร็จก็คือความรู้ ความชำนาญ และเทคนิคที่ดีของผู้ให้คำปรึกษา (Counsellor) ที่จะทำหน้าที่เป็นผู้นำกลุ่มในการเอื้ออำนวยให้เกิดบรรยากาศที่อบอุ่น ร่วมมือกันเพื่อให้ได้แนวทางแก้ปัญหาที่หลากหลาย สามารถนำไปใช้ในการพิจารณาตัดสินใจแก้ปัญหาได้ ซึ่งจะทำให้นักเรียนคิดเป็น รู้จักฟัง รู้จักวิธีการแก้ไขปัญหาของตนเองได้อย่างถูกต้อง
3.  การจัดเข้าค่ายเพศศึกษา ขณะนี้มีบางหน่วยงานได้จัดให้วัยรุ่นเข้าค่ายเพศศึกษา ซึ่งผลที่ได้รับก็เป็นที่น่าพอใจ ทางโรงเรียนควรศึกษาวิธีการจัดเข้าค่ายเพศศึกษาจากหน่วยงานหรือผู้ที่มีประสบการณ์ หรืออาจขอความอนุเคราะห์จากหน่วยงานที่เคยจัดมาแล้ว โดยจะจัดในโรงเรียนหรือนอกสถานที่ก็ได้ กลุ่มเป้าหมายอาจเป็นกลุ่มเสี่ยง กลุ่มปกติ หรือคละกัน แล้วแต่วัตถุประสงค์ของทางโรงเรียน
4.  การแนะแนว เป็นการแนะแนวให้รู้จักตัวตนของตนเอง และประพฤติปฏิบัติตนให้เหมาะสมในเรื่องที่เกี่ยวกับเพศตรงข้าม รู้จักวางแผนชีวิต ซึ่งในเรื่องนี้ทุกโรงเรียนจะมีฝ่ายแนะแนวทำหน้าที่หลัก แต่ครูอื่น ๆ ได้แก่ อาจารย์ที่ปรึกษาก็ควรจะทำหน้าที่ครูแนะแนวด้วยเพราะเด็กนักเรียนเยาว์วัยและต้องการคนที่คอยดูแล ชี้แนะให้คำปรึกษาแก่เขาด้วยความรักความห่วงใยอย่างแท้จริงสำหรับในส่วนของชุมชนนั้น อาจร่วมมือกันจัดกิจกรรมรณรงค์ต่าง ๆ ให้ลูกหลานในชุมชนตระหนักถึงผลเสียของการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร จัดกลุ่มเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงคอยสอดส่องดูแลเป็นหูเป็นตาแทนพ่อแม่ของวัยรุ่น คอยสังเกตวัยรุ่นที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเพศสัมพันธ์ วัยรุ่นบางคนมักชอบพาเพื่อนหรือคู่รักของตนมาที่บ้านหรือหอพักขณะที่ไม่มีคน ถ้าผู้ใหญ่ในชุมชนพบเห็นก็ควรแจ้งสถานศึกษา สถานีตำรวจ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือพ่อแม่ผู้ปกครองของวัยรุ่นเหล่านั้น หากรู้จักกับบุคคลนั้นพอที่จะบอกหรือตักเตือนได้ก็ควรกระทำ
ทัศนคติและค่านิยมที่ควรปลูกฝัง
       ขณะนี้ทัศนคติและค่านิยมที่ควรปลูกฝังเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ของวัยรุ่นเปลี่ยนไปในทางที่เป็นลบหรือในทางที่ไม่ดี กล่าวคือ วัยร่นคิดว่าการมีเพศสัมพันธ์การมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องที่ไม่เสียหาย เห็นคนอื่นทำก็อยากจะทำบ้างชอบทำเลียนแบบสื่อ ตลอดจนทำตามการยุยงส่งเสริมของเพื่อนเมื่อสภาพเป็นเช่นนี้จึง
ควรปลูกฝังทัศนคติและค่านิยมดังนี้
1.  ต้องตระหนักถึงศักดิ์ศรีและคุณค่าของตัวเองโดยเฉพาะเด็กสาว
2.  ต้องรักนวลสงวนตัวสำหรับผู้หญิงและมีความเป็นสุภาพบุรุษสำหรับผู้ชาย
3.  ความสัมพันธ์ทางเพศไม่ควรเกิดจากการกดดัน ข่มขู่ หรือแสวงหาผลประโยชน์
4.  ความสัมพันธ์ทางเพศควรอยู่บนรากฐานของความไว้วางใจ ความซื่อสัตย์และความรับผิดชอบ ตลอดจนให้ เกียรติกัน
5.  ความสัมพันธ์ทางเพศที่เกิดขึ้นก่อนวัยอันควรย่อมมีผลตามมาเสมอ
6.  พฤติกรรมทางเพศที่เกิดเร็วกว่าวัยจะทำให้มีความเสี่ยงสูง
7.  พฤติกรรมทางเพศจะต้องมีความรับผิดชอบ และมีวินัย หลีกเลี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์
8.  การละเว้นการมีเพศสัมพันธ์เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์
9.  วัยรุ่นที่เสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์ควรจะได้รู้จักข้อมูลเกี่ยวกับการให้บริการทางการแพทย์
10.สังคมจะได้ประโยชน์ถ้าเด็ก ๆ สามารถจะพูดคุยเรื่องทางเพศกับพ่อแม่และผู้ใหญ่ด้วยความเชื่อถือและไว้วางใจ
การใช้ถุงยางอนามัย (ชาย) อย่างถูกวิธี SAFE SEX
การใช้ถุงยางอนามัยเป็นวิธีคุมกำเนิด เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ที่สามารถป้องกันการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ทุกชนิดรวม ทั้งการติดเชื้อเอดส์ การศึกษาวิจัยทางการแพทย์สรุปไว้อย่างชัดเจนว่า การใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการป้องกันการ ตั้งครรภ์และการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ในกรณีที่เกิดปัญหาขึ้นจะเป็นจากการใช้ที่ไม่ถูกต้อง เช่น ถุงยางแตกหรือถุงยางหลุด เป็นต้น
การตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นแม้ว่ามีการใช้ถุงยางอนามัยเกิด จากการที่ไม่ใช้ทุกครั้ง หรือใช้อย่างไม่ถูกต้อง ไม่พบว่าเกิดจากปัญหาของถุงยางอนามัยโดยตรงเลย สำนักงานอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกาเคยทำการวิจัยครั้งใหญ่ พบว่าถุงยางอนามัยที่ได้ผลิตมาจากโรงงานที่ได้มาตาฐานจะไม่มีปัญหาที่น้ำ อสุจิหลุดลอดออกมาเลยแม้แต่น้อย
หัวใจสำคัญในเรื่องการใช้ถุงยางอนามัยจึงมีสองประการ คือ ต้องใช้ทุกครั้งและใช้อย่างถูกต้อง
ถุงยางอนามัยที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เรียก ว่า latex condom หรือ latex rubber condom ย้อนไปเมื่อประมาณปี 1980-1985 พบว่าการใช้ถุงยางอนามัยไม่เป็นที่นิยม ส่วนใหญ่เป็นการใช้เพื่อคุมกำเนิดป้องกันการตั้งครรภ์ แม้ว่าจะทราบกันมาตั้งแต่สมัยโรมันแล้วว่าการใช้ถุงยางอนามัยสามารถป้องกัน โรคคิดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ แต่แนวความคิดนี้ยังไม่แพร่หลายจนกระทั่งเมื่อเริ่มมีการระบาดของโรคเอดส์ ถึงมีการรณรงค์ให้ใช้ถุงยางอนามัยกันอย่างกว้างขวางและถือเป็นมาตาการที่ ได้รับการยอมรับมากที่สุดอย่างหนึ่ง
ถุงยางอนามัยยุคแรกสุดเท่า ที่มีการบันทึกไว้ทำมาจากผ้าทอ ซึ่งไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้และไม่สามารถป้องกันเชื้อโรคได้ ต่อมาได้พัฒนาการผลิตหันมาใช้ไส้แกะ ซึ่งก็ดีขึ้นบ้างแต่ประสิทธิภาพยังต่ำอยู่จนถึงยุคสมัยที่นำยางมาใช้ในแวดวง อุตสาหกรรมเมื่อประมาณปี 1930 ถุงยางอนามัยจึงเริ่มเป็นอุปกรณ์ลักษณะแผ่นยางที่ทำจากสารสังเคราะห์ของยาง และพลาสติก ปัจจุบันมีการผลิตถุงยางอนามัยจากสารโปลียูรีเธนมากขึ้น
หลักการใช้ถุงยางอนามัย
ถุง ยางอนามัยใช้สวมใส่อวัยวะเพศชายเมื่อแข็งตัวเต็มที่ ทำหน้าที่เป็นเครื่องกีดขวางไม่ให้ตัวเชื้ออสุจิเข้าสู่ช่องคลอด ที่ปลายถุงยางอนามัยจะมีกระเปราะเล็กๆสำหรับรองรับน้ำอสุจิ
1.             ผู้ที่ใช้ต้องใส่และถอดให้ถูกวิธี โดยให้ใส่เมื่ออวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่เท่านั้น
2.             บีบปลายกะเปาะไล่ลมแล้วสวมลงบนอวัยวะเพศรูดลงมาจนสุด
3.             เมื่อเสร็จการร่วมเพศ ต้องรีบดึงอวัยวะเพศออกขณะยังแข็งตัวอยู่ มิฉะนั้นถุงยางอาจจะหลุดอยู่ในช่องคลอดได้
4.             ต้องดึงออกโดยมิให้น้ำอสุจิไหลออกมาอยู่บริเวณอวัยวะเพศหญิง
5.             มีถุงยางอนามัยสำรองเตรียมพร้อมไว้เสมอ
ใน ต่างประเทศบางแห่ง หลักการใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกต้องถือเป็นบทเรียนสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของ การเรียนรู้วิชาเพศศึกษาที่ถูกต้องในโรงเรียน
รูปที่ 1
รูปที่ 2
รูปที่ 3
รูปที่ 4
รูปที่ 5
รูปที่ 6
Before Intercourse:
1.             Carefully open the package so the condom does not tear. (Do not use teeth or a sharp object to open the package.) Do not unroll the condom before putting it on.
2.             If you are not circumcised, pull back the foreskin. Put the condom on the end of the hard penis. Note: If the condom is initially placed on the penis backwards, do not turn it around. Throw it away and start with a new one.
3.             Pinching the tip of the condom to squeeze out air, roll on the condom until it reaches the base of the penis.
4.             Check to make sure there is space at the tip and that the condom is not broken. With the condom on, insert the penis for intercourse.
After Intercourse:
1.             After ejaculation, hold onto the condom at the base of the penis. Keeping the condom on, pull the penis out before it gets soft.
2.             Slide the condom off without spilling the liquid (semen) inside. Dispose of the used condom.
ปัญหาที่พบได้บ่อยเกี่ยวกับการใช้ถุงยางอนามัยที่ไม่ถูกต้อง
1.             ใช้สารหล่อลื่นไม่ถูกต้อง ทำให้ถุงยางแตกหรือลื่นหลุด
2.             ไม่ใช้ถุงยางอนามัยใหม่แกะกล่อง
3.             ใช้ถุงยางเพียงครั้งแรกเท่านั้น เมื่อมีเพศสัมพันธ์ต่อไปไม่ได้ใช้ถุงยาง
4.             ใช้ถุงยางอนามัยที่เสื่อมสภาพอย่างเห็นได้ชัด
5.             มึนเมาสุราหรือสารเสพติด จึงตัดสินใจถอดถุงยางทิ้งกลางคัน
6.             แกะถุงยางอนามัยออกมาเล่นก่อนมีเพศสัมพันธ์
7.             ใส่ถุงยางผิดด้านแล้วนำกลับมาใช้ใหม่
8.             สำหรับผู้ที่ไม่ได้ขลิบปลายอวัยวะเพศ ต้องดึงหนังหุ้มรูดให้สุดเสียก่อน
การเก็บรักษา
ถุงยางอนามัยควรเก็บรักษาไว้ในที่ไม่ถูกแสงแดดหรือที่มีอุณหภูมิสูง
ความสามารถในการป้องกันการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธถุงยางอนามัยสามารถกีดขวางไม่ให้ตัวเชื้ออสุจิและเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ เข้าสู่ช่องคลอดได้ดังต่อไปนี้
1.             ตัวเชื้ออสุจิ (spermatozoa) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.003 มิลลิเมตร หรือ 3000 นาโนเมตร
2.             เชื้อก่อโรคซิฟิลิส (Treponema pallidum) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 600 นาโนเมตร
3.             เชื้อก่อโรคหนองใน (Neisseria gonorrhoeae) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 800 นาโนเมตร
4.             เชื้อก่อโรคหนองในเทียม (C. trachomatis) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 200 นาโนเมตร
5.             เชื้อไวรัสเอดส์ (HIV) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 125 นาโนเมตร
6.             เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด บี (hepatitis B virus) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 40 นาโนเมตร
15 วิธีคุมกำเนิด... ที่คุณเลือกได้
              การคุมกำเนิดไม่ใช่หน้าที่ของผู้หญิงฝ่ายเดียว ผู้ชายก็ช่วยคุมกำเนิดได้ ซึ่งมีทั้งวิธีธรรมชาติและอาศัยเทคโนโลยี แต่ก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดด้วย
         นพ.วิสิทธิ์ สภัครพงษ์กุล กลุ่มงานสูตินรีเวชกรรม โรงพยาบาลราชวิถี ให้ความกระจ่างดังนี้ค่ะ
             1. ถุงยางอนามัย เป็นวิธีคุมกำเนิดที่เก่าแก่ที่สุดและยังเป็นการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย ทั้งนี้ ความปลอดภัยในการคุมกำเนิดก็ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้ กระนั้นก็ตามก็ยังมีคนใช้ผิดวิธี หรือใช้ถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพต่ำหรือหมดอายุ ที่พบบ่อยคือการสวมถุงยางอนามัยตอนใกล้จะหลั่งคือไม่ใช้ตั้งแต่ต้น ก็จะเกิดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ได้ เนื่องจากน้ำหล่อลื่นในช่วงแรกก็อาจมีเชื้ออสุจิออกมาแล้ว
             2. ยาคุมกำเนิด มีฮอร์โมนเอสโตรเจนและเจสตาเจน (Gestagen) ฮอร์โมนทั้งสองตัวนี้จะป้องกันไม่ให้ไข่ตกและเปลี่ยนแปลงเยื่อบุโพรงมดลูกให้ไม่เหมาะแก่การฝังตัว ทั้งนี้ ต้องกินยาคุมกำเนิดติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 3 สัปดาห์ และหยุดพักหนึ่งสัปดาห์ที่จะมีประจำเดือนในช่วงนั้น วิธีนี้เป็นวิธีที่ปลอดภัยมากและยังช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนได้ด้วย แต่อาจทำให้ผู้หญิงที่สูบบุหรี่เกิดโรคโลหิตหรือน้ำเหลืองคั่งได้ ทำให้อารมณ์เพศลดลง และอาจทำให้ผู้หญิงเกิดโรคลิ่มเลือดแข็งตัวในหลอดเลือด (Deep Vein Thrombosis DVT) ซึ่งพบบ่อยในชาวตะวันตก ปัจจุบันเริ่มพบมากขึ้นในประเทศไทยเนื่องจากไลฟ์สไตล์ของผู้หญิงเริ่มเปลี่ยนไปแบบตะวันตก เช่น กินอาหารแบบตะวันตก และออกกำลังกายน้อยลง
             3. ยาคุมกำเนิด Desogestrel และ Levonorgestrel มีเพียงฮอร์โมนเจสตาเจนเท่านั้นที่จะป้องกันไม่ให้ไข่ตกและป้องกันไม่ให้สเปิร์มผ่านเข้าไปในมดลูก ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยมากและยังช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนด้วย แต่ต้องกินยานี้ทุกวัน ข้อเสียคือ ทำให้มีเลือดออกกะปริดกะปรอยในระยะแรกของการใช้



ส่วนมากจะใช้ในกรณีคลอดบุตรใหม่ๆ และต้องการให้นมบุตร
แต่ถ้าเราใช้ยาคุมกำเนิดทั่วๆ ไปที่รวมเจสตาเจนและโปรเจสเตอโรน (ดีในแง่ของการยับยั้งการตกไข่) ก็มีข้อเสียคือทำให้น้ำนมน้อยลง จึงควรใช้ยาคุมกำเนิด Desogestrel ซึ่งมีเจสตาเจนอย่างเดียว คือทั้ง Desogestrel และ Levonorgestrel เป็นกลุ่มเจสตาเจนในระยะแรกจะมีเลือดออกกะปริดกะปรอยสักระยะหนึ่งแล้วก็หาย อาจใช้ในกรณีหลังคลอดบุตรใหม่ๆ และต้องการให้นมบุตร
             4. ยาคุมกำเนิดหลังมีเพศสัมพันธ์ เป็นยาที่มีความแรงของตัวยาและต้องให้แพทย์สั่งในกรณีฉุกเฉิน เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ตั้งใจไม่ได้ป้องกัน หรือมีความเสี่ยงกับการตั้งครรภ์ที่มีไม่พึงปรารถนา ยานี้ต้องกินภายใน 72 ชม. หลังการมีเพศสัมพันธ์ยิ่งกินยาได้เร็วเท่าไหร่ก็จะปลอดภัยมากเท่านั้น วิธีคุมกำเนิดวิธีนี้ไม่ค่อยแนะนำให้ใช้ เพราะเนื่องจากจะมีอากรข้างเคียงมาก อีกทั้งประสิทธิภาพไม่ดีพอ อาการข้างเคียงก็อย่างเช่น ทำให้ตั้งครรภ์นอกมดลูกได้
             5. คุมกำเนิดแบบฉีด 3 เดือน เป็นยาฉีดที่มีฮอร์โมนเจสตาเจน โดยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อที่สะโพกหรือต้นแขนมีผลควบคุมไม่ให้ตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนมีปลอดภัยในการคุมกำเนิดสูงและช่วยลดอาการปวดท้องระหว่างมีรอบเดือนแต่เป็นยาที่มีฮอร์โมนสูง จึงต้องได้รับการพิจารณาจากแพทย์ ยานี้เมื่อใช้ไประยะหนึ่ง ระยะแรกของการฉีดอาจมีประจำเดือนกะปริดกะปรอย แต่ไม่เป็นอันตราย เมื่อฉีดไปสักระยะ อาจไม่มีประจำเดือนเลย ซึ่งทั้งสองอาการนี้ไม่ได้เป็นอันตรายใดๆ เป็นอาการที่พบได้จากการใช้วิธีนี้
             6. ฝังไว้ที่ผิวหนัง มีลักษณะเป็นแท่งพลาสติก มีขนาดเท่าไม้ขีด มีฮอร์โมนเจสตาเจน โดยใช้การใส่เข้าไปที่ต้นแขนใต้ผิวหนังของผู้หญิง ป้องกันไข่ตกและป้องกันไม่ให้สเปิร์มเข้าไปในรังไข่ หลังจาก 3 ปี ก็ให้แพทย์เอาออก เป็นวิธีที่ปลอดภัยแต่วิธีนี้อาจทำให้มีแผลเป็นเล็กๆ และมีเลือดออกกะปริดกะปรอยในระยะแรกเมื่อใช้ไประยะหนึ่งก็จะหาย



             7. การใส่ห่วง เป็นห่วงที่ทำจากพลาสติกขนาดเล็กและมีขดลวดทองแดงเล็กๆ (Copper-T) พันรอบห่วง ใช้สำหรับคุมกำเนิดอย่างเดียว โดยผู้หญิงจะใส่ห่วงในช่วงมีรอบเดือนเพราะใส่ง่ายมีอายุคุมกำเนิดได้ถึง 5 ปี เป็นห่วงที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนและเจสตาเจนน้อยสามารถคุมกำเนิดได้ 5 ปี และอาจพบแพทย์ระยะแรกเพื่อตรวจห่วง มีจำหน่ายในประเทศเยอรมนีตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2003 ส่วนห่วงอีกชนิดหนึ่งเป็นห่วงที่มีฮอร์โมนเจสตาเจน ใช้ได้ทั้งคุมกำเนิดลดอาการปวดประจำเดือนและอาการประจำเดือนมามาก ที่มีสาเหตุจากความผิดปกติของมดลูกบางชนิด
             8. การวัดฮอร์โมนตกไข่ เป็นวิธีทดสอบปัสสาวะของผู้หญิงโดยการใช้แท่งตรวจจุ่มลงไปในปัสสาวะเพื่อตรวจสอบฮอร์โมนในปัสสาวะและคำนวณวันที่ไข่จะตก แต่เป็นวิธีที่ไม่ค่อยปลอดภัย เพราะวัดเพียงไม่กี่วันของแต่ละเดือน ส่วนใหญ่ใช้ในกรณีต้องการมีบุตรมากกว่า คือรู้วันตกไข่เพื่อมีเพศสัมพันธ์ให้ตรงวัน
             9. การวัดอุณหภูมิ เพื่อความมั่นใจในการคุมกำเนิด จำเป็นต้องหมั่นวัดอุณหภูมิร่างกายทุกวัน ในช่วงเวลาเดียวกันและในตำแหน่งเดิม เพื่อจะได้รู้วันไข่ตกที่แน่นอน เพราะในระยะหนึ่งถึงสองวันหลังไข่ตก อุณหภูมิของร่างกายจะขึ้นสูงมากกว่า 0.2 องศา ซึ่งนั่นก็คือเป็นที่ปลอดภัย ข้อดีก็คือไม่เจ็บปวดและประหยัด ข้อเสียคือ เหมาะสำหรับผู้หญิงมีรอบเดือนสม่ำเสมอและไม่มีไข้เท่านั้น
             10. นับวันจากปฏิทิน เป็นวิธีที่ผู้หญิงต้องมีปฏิทินประจำตัว เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก เหมาะกับผู้หญิงที่มีประจำเดือนสม่ำเสมอ (28 วัน) แต่ช่วงไข่ตกก็ต้องใช้วิธีอื่นคุมกำเนิด โดยเฉลี่ยของการผิดพลาดคือ 9 คนจาก 100 คนที่พลาดจนเกิดการตั้งครรภ์
             11. สังเกตมูกจากปากมดลูก เป็นวิธีคุมกำเนิดอย่างธรรมชาติและเป็นวิธีที่ประหยัด โดยผู้หญิงต้องสังเกตมูกตกขาวจากปากมดลูก (Cervical Mucus) ทุกวันและจดโน้ตไว้เพื่อดูวันที่ไข่ตกและในระหว่างที่มีการตกไข่ก็ต้องคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น แต่อาจคลาดเคลื่อนได้หรือแปลผลผิด เช่น ในกรณีที่มีการติดเชื้อหรืออักเสบของช่องคลอด
             12. วิธีคุมกำเนิดแบบ Sympto Thermal เป็นวิธีคุมกำเนิดอย่างธรรมชาติโดยการผสมผสานระหว่างอุณหภูมิและการสังเกตมูกตกขาววิธีนี้ค่อนข้างปลอดภัยถ้าผู้หญิงหมั่นสังเกตตัวเอง แต่ถ้ามีไข้หรือมีการอักเสบของช่องคลอดก็จะทำให้แปลผลผิดได้และระหว่างวันที่ไข่ตกก็จะต้องคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย
             13. Coitus lnterruptus เป็นวิธีที่ฝ่ายชายหลั่งอสุจิข้างนอกหลังการมีเพศสัมพันธ์ แต่สเปิร์มอาจเล็ดลอดออกไปได้ก่อนหน้านั้น จึงไม่แนะนำเพราะไม่ปลอดภัย จากสถิติผู้หญิง 100 คน มีจำนวน 4-18 คนที่ผิดพลาดจนตั้งครรภ์ด้วยวิธีนี้
             14. การทำหมันชาย วิธีนี้ใช้การผ่าตัดเพียงนิดเดียวในผู้ชายเพื่อตัดท่ออสุจิ เหมาะกับผู้ชายที่ไม่ต้องการมีลูกอีก ป้องกันการตั้งครรภ์ได้สูง



           

15. การทำหมันหญิง คือกรรมวิธีการตัดบางส่วนหรือแยกท่อนำไข่ออกจากกันทั้ง 2 ข้าง ทำให้ไม่เกิดการปฏิสนธิ การแก้ไขเพื่อให้ท่อนำไข่สู่ภาวะปกติก็ทำได้ แต่ค่อนข้างยุ่งยากเพราะต้องอาศัยการผ่าตัดผ่านกล้องจุลทรรศน์



ข้อแนะนำจาก นพ.วิสิทธิ์ สุภัครพงษ์กุล
          อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นข้อมูลเบื้อต้นเพื่อสื่อสารถึงผู้หญิงไทยในการคุมกำเนิดด้วยวิธีใดที่เหมาะสม ควรปรึกษาแพทย์ร่วมด้วยมีโรคประจำตัวอะไรหรือไม่ ตัวเองเหมาะกับไลฟ์สไตล์แบบไหนวิธีคุมกำเนิดต่างๆ มีหลายวิธี หลังจากเราได้ข้อมูลเหล่านี้แล้วจะได้เลือกวิธีที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ เศรษฐกิจสังคมของตัวเอง
          อย่างไรก็ตามก็ควรปรึกษาแพทย์ว่าวิธีคุมกำเนิดนั้นๆ เหมาะสมกับสภาพร่างกายหรือไม่ รวมทั้งระบบรอบเดือนด้วย ที่สำคัญคือการคุมกำเนิดต้องเป็นการร่วมมือระหว่างสามีภรรยามากกว่าการทำเพียงฝ่ายเดียว โดยเฉพาะถ้ายังอยู่ในช่วงวัยที่ไม่พร้อม ดังนั้น ความเข้าใจเรื่องการคุมกำเนิดหรือป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ เป็นความรู้ที่ควรมีและต้องนำไปปฏิบัติให้ได้ผล
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ Sexual tranmitted disease
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เริ่มจะพบมากขึ้นในวัยรุ่นซึ่งจะมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงาน โดยที่ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ การป้องกันตัวเองทั้งการตั้งครรภ์และโรคติดต่อ การที่เรามีความรู้เกี่ยวกับการติดต่อ อาการของโรค การรักษา จะเป็นขั้นแรกของการป้องกันโรค ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ควรทราบ 
1.             โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถเป็นได้ทุกเพศทุกวัย ทุกชนชั้น แต่พบมากในหมู่วัยรุ่น
2.             อัตราการติดเชื้อของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์พบมากขึ้นเนื่องจากวัยรุ่นมีค่านิยมที่จะอยู่ก่อนแต่งงาน หรือนิยมมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังไม่มาก และที่สำคัญมีการหย่าล้างสูงทำให้คนมีสามีหรือภรรยาหลายคน ทำให้โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มมากขึ้น
3.             โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยมากมักจะไม่เกิดอาการ ดังนั้นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถติดต่อโดยที่ไม่รู้ตัว แพทย์บางประเทศจึงแนะนำให้มีการตรวจค้นหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สำหรับคนที่สำส่อน
4.             โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ยังก่อให้เกิดปัญหาทางสาธารณสุขอย่างมาก
  • โรคอาจจะลุกลามไปยังมดลูกหรือท่อรังไข่ทำให้เกิดการอักเสบในช่องท้อง Pelvic inflammatory disease ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดการเป็นหมัน หรือตั้งครรภ์นอกมดลูก
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อาจจะทำให้เกิดโรคมะเร็ง เช่นการติดเชื้อ human papillomavirus infection (HPV) ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถติดต่อไปยังทารกในครรภ์
กลุ่มที่เสี่ยงต่อการติดโรค
  • การมีเพศสัมพันธ์กับชายหรือหญิงบริการใน 3 เดือนที่ผ่านมา
  • การมีคู่นอนมากกว่า 1 คนใน 3 เดือนที่ผ่านมา
  • การมีเพศสัมพันธ์กับคู่คนใหม่ใน 3 เดือนที่ผ่านมา
  • การที่มีประวัติป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ใน 1 ปีที่ผ่านมา
  • การที่สามีหรือภรรยามีคู่นอนมากกว่า 1 คนใน 3 เดือนที่ผ่านมา
  • การที่คู่ครองอยู่กันคนละที่
อาการของผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • ปัสสาวะขัด
  • มีผื่น แผลหรือตุ่มน้ำที่อวัยวะเพศหรือทวารหนัก
  • มีหนองหรือน้ำหลั่งจากช่องคลอดหรือท่อปัสสาวะ
  • มีอาการคันหรือปวดบริเวณทวาร
  • มีอาการแดงและปวดบริเวณอวัยวะเพศ
  • ปวดท้องหรือปวดช่องเชิงกราน
  • ปวดเวลามีเพศสัมพันธ์
  • ตกขาวบ่อย

1.            การรักษาตั้งแต่เริ่มต้นจะทำให้รักษาหายขาด การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จะทำให้ติดโรคเอดส์ง่ายขึ้น
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
เป็นโรคที่เริ่มมีรายงานเมื่อปี 1981 เกิดจากเชื้อ human immunodeficiency virus (HIV), ซึ่งเป็นเชื้อที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อพวกฉวยโอกาสและมะเร็ง
เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อยที่สุด ทำให้เกิดอาการมีหนองไหลและมีอาการระคายเคืองบริเวณอวัยวะเพศ สำหรับผู้หญิงที่ไม่ได้รักษาอาจจะทำให้เกิดการอักเสบในช่องเชิงกรานเป็นหมัน หรือตั้งครรภ์นอกมดลูก
เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งเมื่อติดเชื้อจะทำให้เกิดหูดขึ้น อ่านที่นี่
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธุ์ หูดขึ้นได้ทั้งแคมใหญ่ ช่องคลอด และปากมดลูก เชื้อบางชนิดทำให้เกิดมะเร็ง

เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดเชื้อไวรัส herpes simplex virus ทำให้เกิดอาการปวดแสบบริเวณขา ก้นหรืออวัยวะเพศ และตามด้วยผื่นเป็นตุ่มน้ำใส แผลหายได้เองใน 2-3 สัปดาห์แต่เชื้อยังอยู่ในร่างกาย เมื่อร่างกายอ่อนแอ เชื้อก็จะกลับเป็นใหม่
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า ทำให้เกิดอาการระคายเคืองในท่อปัสสาวะ แสบขัดเวลาปัสสาวะ มีหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะ อาจจะทำให้เกิดการอักเสบในช่องท้อง หรือเป็นหมันหากไม่ได้รับการรักษา
เกิดจากเชื้อไวรัส human papillomavirus ทำให้เกิดหูดที่อวัยวะเพศลักษณะเป็นผื่นนูน ไม่เจ็บ ผื่นจะมีขนาดใหญ่ขึ้น หากไม่รักษาผื่นจะโตเป็นลักษณะหงอนไก่ Molluscum
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้ไม่บ่อย การติดเชื้อเริ่มแรกจะเป็นก้อนแข็งไม่เจ็บที่อวัยวะเพศ ไม่ไม่รักษาจะกลายเป็นระยะที่สองที่เรียกว่าเข้าข้อหรือออกดอก หากทิ้งไว้นานจะติดเชื้อที่ระบบประสาท และหัวใจ
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เกิดจากเชื้อ Haemophilus Ducreyi ลักษณะของโรคจะมีแผลที่อวัยวะเพศ บวมและเจ็บ บางคนมีต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบหรือที่ชาวบ้านเรียกไข่ดันบวม หากไม่รักษาหนองจะแตกออกจากต่อมน้ำเหลือง
เกิดจากแมลงตัวเล็กที่เรียกว่า pediculosis pubis อาศัยอยู่ที่ขนหัวเหน่า ดูดเลือดคนเราเป็นอาหาร ผู้ที่เป็นโรคจะมีอาการคันเป็นหลัก เมื่อเกาจะทำให้เจ้าตัวเชื้อแพร่ไปยังบริเวณอื่น การวินิจฉัยสามารถทำได้ด้วยตาเปล่า จะพบไข่สีขาวเกาะตรงโคนขน ไข่จะมีลักษณะวงรี ส่วนตัวแมลงเมื่อกินเลือดเต็มที่จะออกสีน้ำตาล
การรักษาตัวโลนสามารถซื้อยาทาได้ตามร้านขายยา แต่คนท้องหรือเด็กควรจะปรึกษาแพทย์
การป้องกัน สมาชิกในครอบครัว เพื่อนสนิท คู่นอนควรจะได้รับการดูแลพร้อมกันเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ เสื้อผ้าหรือผ้าปูที่นอนควนจะนำไปต้มหรือซักแห้ง แล้วรีดด้วยเตารีด ตัวแมลงอยู่ได้เพียง 24 ชั่วโมงเมื่อไม่ได้อยู่กับคน ส่วนไข่อยู่ได้นานถึง 6 วัน
การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ดีที่สุดคือการไม่มีเพศสัมพันธ์ หากยังมีเพศสัมพันธ์ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก
  • ไม่เปลี่ยนคู่นอน ให้มีสามีหรือภรรยาคนเดียว
  • ใส่ถุงยางให้ถูกต้องหากจะมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ทราบว่ามีการติดเชื้อหรือไม่
  • อย่ามีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อยเพราะจากสถิติหากมีเพศสัมพันธ์อายุน้อยจะมีโอกาสติดโรคสูง
  • ให้ตรวจประจำปีเพื่อหาเชื้อโรคแม้ว่าจะไม่มีอาการ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการแต่งงานใหม่
  • เรียนรู้อาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • อย่าร่วมเพศขณะมีประจำเดือน เพราะจะทำให้เกิดโรคติดต่อได้ง่าย
  • อย่ามีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก หากจำเป็นให้สวมถุงยางอนามัย
  • อย่าสวนล้างช่องคลอดเพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย
สำหรับผู้ที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต้องปฏิบัติตัวอย่าง
  • ให้รักษาอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
  • แจ้งให้คู่นอนทราบว่าคุณเป็นโรคเพื่อที่จะป้องกันโรคมิให้แพร่สู่คนอื่น และให้ได้รับการรักษา
  • รักษาตามแพทย์สั่ง
  • งดร่วมเพศ














อาการของโรคและเชื้อที่เป็นสาเหตุ
อาการ
เชื้อที่เป็นสาเหตุ
ตกขาวมากผิดปกติ
หนองไหลจากอวัยวะเพศ
เลือดออกช่องคลอดผิดปกติ
เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์
ปัสสาวะขัด
ปวดท้องน้อย
ปวด บวมอัณฑะ
คันบริเวณอวัยวะเพศ
แผลบริเวณอวัยวะเพศ
ก้อนเนื้อบริเวณอวัยวะเพศ
ตัวเหลืองตาเหลือง




















เอกสารอ้างอิง